 ไม่ว่าจะใช้สำนักคิดใด เป้าหมายในการพัฒนาประเทศหรือแม้แต่การพัฒนาเมืองก็ล้วนมีเป้าหมายสุดท้าย คือคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทั้งสิ้น ซึ่งเงื่อนไขจำเป็นหนึ่งของการที่ประชากรจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีก็คือสังคมจะ ต้องมีประสิทธิภาพในการผลิต (Productive society) ผลผลิตทุกอย่างย่อมเกิดจากการนำ “ปัจจัยการผลิต” มาผ่านกระบวนการผลิต ดังนั้นสังคมหนึ่งจะยืนอยู่แถวหน้าในฐานะที่มีศักยภาพในการผลิตสูงได้นั้นก็ จะต้องเป็นเจ้าแห่งปัจจัยการผลิตที่สำคัญต่อรูปแบบการผลิตของยุคนั้นๆ
ความเจริญรุ่งเรืองในอดีตของกรุงเทพมหานครล้วนได้มาโดยการได้ครอบครองปัจจัย แห่งยุคโดย “บังเอิญ” ไม่ได้เกิดจากการวางแผนอย่างตั้งใจ เมื่อประมาณ 500 กว่าปีที่แล้ว “บางกอก” สามารถถือกำเนิดเป็นเมืองได้ เนื่องจากบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรีในปัจจุบันนั้นมีความพอเหมาะพอ ดีทั้งในแง่ของภูมิประเทศที่สามารถให้เรือมาจอดเทียบท่าได้ และในแง่ของทำเลที่ตั้งที่อยู่ระหว่างอยุธยาที่เจริญรุ่งเรืองและปากแม่ น้ำ เมื่อแรกสร้างเมืองนั้นบางกอกจึงทำหน้าที่เป็น “ศุลกากร” ของกรุงศรีอยุธยา อีกทั้งความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้ำก็ทำให้บางกอกสามารถเลี้ยงตัวเองได้ด้วย เกษตรกรรม บนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจจาก “คลื่นลูกที่หนึ่ง” หรือเกษตรกรรมมาสู่ “คลื่นลูกที่สอง” หรือเป็นอุตสาหกรรมนั้น แม้กรุงเทพมหานครจะสามารถปรับตัวได้อย่างสวยงาม แต่ความสำเร็จของกรุงเทพมหานครในการดึงปัจจัยการผลิตที่จำเป็นสำหรับ อุตสาหกรรมส่วนใหญ่มาจากบริบทภายนอกที่เอื้ออำนวย มากกว่าที่จะมาจากการวางแผน

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดอย่างน้อยสองชนิดสำหรับอุตสาหกรรมคือทุนทางกายภาพและ แรงงานราคาถูก ในด้านทุนทางกายภาพ เช่น เครื่องจักร นั้น กรุงเทพ “บังเอิญ” ได้รับอานิสงค์จากญี่ปุ่นซึ่งจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตหลังข้อตกลง Plaza Accord กรุงเทพซึ่งดูเป็นเมืองที่พร้อมที่สุดในตอนนั้นเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อน บ้านจึงเป็นแหล่งดึงดูดเงินลงทุนชั้นดี ส่วนในด้านแรงงานนั้น กรุงเทพมีฐานะเป็นหัวหอกของการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ จึงสามารถดึงแรงงานราคาถูกจากภูมิภาคซึ่งยังติดอยู่ใน “คลื่นลูกที่หนึ่ง” ด้วยความต่างของค่าจ้างอย่างชัดเจน
เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว กรุงเทพพยายามที่จะเกาะกระแสของ “คลื่นลูกที่สาม” เพื่อจะเป็นสังคมแห่งข้อมูลสารสนเทศ รัฐบาลกลางได้ตั้งเป้าให้กรุงเทพเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยก่อตั้งกรุงเทพวิเทศธนกิจ (BIBF) ในปี 2535 ด้วยการขาดเงื่อนไขจำเป็นเช่นการมีกฎระเบียบเพื่อควบคุมพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง ของสถาบันการเงิน ภาพที่ฝันไว้สวยหรูจึงพังทลายอย่างไม่มีชิ้นดีในเวลาเพียง 5 ปี และนั่นเป็นสัญญาณแรกที่บอกให้รู้ว่าโอกาสและกรุงเทพกำลังจะหมดลง
มีบางคนเคยกล่าวว่าวิกฤติการณ์การเงินและเศรษฐกิจปี 2540 เป็นการปลุกให้คนไทย (รวมทั้งคนกรุงเทพ) ตื่นขึ้นมาจากความฝันอันสวยหรูเพื่อรับรู้ความเป็นจริง คำพูดนี้อาจจะถูกต้อง ผมคิดว่าเราที่ส่วนใหญ่มีฐานะเป็นคนกรุงเทพนั้น ต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าความ “บังเอิญ” ที่กำลังจะลาจากเราไป และถูกแทนที่ด้วยความเป็นจริงที่ไม่น่าอภิรมย์นักอันกำลังถาโถมมาภายในปี 2020 นี้
ปัจจัยที่เคยหนุนให้กรุงเทพรุ่งเรืองใน “คลื่นลูกที่สอง” หรือเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมนั้นกำลังจะหายไป สำหรับปัจจัยด้านกำลังแรงงานนั้น ประเทศไทยรวมทั้งกรุงเทพกำลังเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” (Aging Population) จากการฉายภาพประชากรไทยของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขและสถาบันวิจัยประชากร และสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล สัดส่วนประชากรในเขตกทม.ที่อายุเกิน 60 ปี จะเพิ่มจากร้อยละ 9.6 ในปี 2008 เป็นร้อยละ 16.9 ของประชากรในกรุงเทพทั้งหมดในปี 2020 ซึ่งถือว่าเพิ่มเกือบ 2 เท่า พร้อมๆ กับภาวะที่ประชากรวัยทำงาน (15-60 ปี) มีจำนวนลดลง และมีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 70.4 ในปี 2008 เหลือร้อยละ 65.4 ในปี 2020
ปรากฏการณ์สังคมผู้สูงอายุนั้นมีผู้ศึกษาและพูดถึงประเด็นเรื่องปัญหา สวัสดิการผู้สูงอายุไปมากแล้ว แต่ปรากฏการณ์นี้ยังมีผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วย ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ “หน้าต่างแห่งโอกาส” (window of opportunity) ของประเทศไทยและกรุงเทพกำลังจะปิดลงภายในปี 2020 เนื่องจากประเทศจะขาดแรงงานในวัยหนุ่มสาวเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน ความจริงแล้วปฐมบทของสิ่งที่ผมคาดการณ์นั้นได้เริ่มไปแล้ว เราได้เห็นอัตราการว่างงานที่ต่ำเพียงร้อยละ 1 ซึ่งอาจถือว่าต่ำที่สุดในโลก เราได้เห็นการทะลักเข้ามาของแรงงานต่างชาติเพื่อชดเชยการขาดแคลนแรงงาน ปัญหานี้จะทวีความรุนแรงขึ้นอีกมากในปี 2020
สำหรับปัจจัยด้านทุนกายภาพนั้น เมื่อเทียบกับเมืองอื่นในโลกแล้วกรุงเทพไม่ใช่เมืองที่มีเงินถุงเงินถัง ทุนทางภายภาพจำนวนมากในกรุงเทพจึงมีเหตุมาจากการไหลเข้าของทุนต่างประเทศ แต่ปัจจุบันกรุงเทพมีคู่แข่งในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้นมาก มายกว่าช่วงปลายทศวรรษ 80’s ถึงต้นทศวรรษ 90’s เราจึงหวังให้ภายในปี 2020 มีเหตุการณ์แบบช่วงนั้นอีกคงจะไม่ได้
กรุงเทพได้ก้าวผ่านคลื่นลูกที่หนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังสับสนปนเประหว่างคลื่นลูกที่สองและลูกที่สามซึ่งก็กำลังจะผ่านไป เช่นกัน ผมมองเห็นคลื่นลูกที่สี่และลูกที่ห้าที่กำลังตามมาติดๆ กันและคงเห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนในปี 2020 ที่กำลังจะมาถึง
ในอดีตกาล บางสังคมเคยวัดความร่ำรวยของคนจากจำนวนวัวหรือแกะ แต่เมื่อเกิดการเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรและปศุสัตว์แบบ Mass Production วัวหรือแกะก็กลายเป็นของสามัญที่คนกินกันทุกวันและไม่มีความหมายอันใด สิ่งนี้สะท้อนการเปลี่ยนจากยุคเกษตรกรรมมาเป็นยุคอุตสาหกรรม และในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้เราก็เห็นชัดเจนว่าทิศทางของความมั่งคั่งเปลี่ยน จากเจ้าของทุนกายภาพ เช่น เจ้าของโรงงาน มาเป็นผู้กุมช่องทางการไหลของการติดต่อสื่อสาร เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ และมาเป็นอินเตอร์เน็ตในที่สุด นี่เป็นการสะท้อนจุดสูงสุดของคลื่นลูกที่สามหรือสังคมแห่งข้อมูลข่าวสาร ผู้ที่เป็นเจ้าของปัจจัยแห่งยุค นั่นก็คือ “สื่อ” จึงได้ครอบครองความมั่งคั่งและอำนาจ
แต่อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าคลื่นลูกสามกำลังจะซาไป สมัยก่อนข้อมูลข่าวสารเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง แต่ปัจจุบันผมคิดว่ากำลังจะเกิด “การล้นทะลักของข้อมูลข่าวสาร” ข้อมูลข่าวสารเริ่มเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ เช่น เราจะเห็นว่าเทคโนโลยีทางอินเทอร์เน็ตทำให้ปัจจุบันคนรู้ข่าวได้ไวมาก สถานีโทรทัศน์มิได้ผูกขาดในการเสนอข้อมูลอีกต่อไป และจะเข้าสู่คลื่นลูกที่สี่หรือ “สังคมแห่งความรู้” และสุดท้ายจะถึงคลื่นลูกที่ห้าหรือ “สังคมแห่งปัญญา” ในที่สุด ในสังคมแห่งความรู้นั้นคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดอะไรใหม่ๆ จะเป็นมั่งคั่งขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เงินทุนจะไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไปเพราะเงินทุนในโลกซึ่งมีอยู่มหาศาลจะไหลไป สู่คนที่มีความคิดที่ยอดเยี่ยม เช่นเราเห็นนักศึกษามหาวิทยาลัย Harvard ที่คิดเว็บไซต์ที่อำนวยความสะดวกในการติดต่อกับเพื่อนอย่าง Facebook ก็กลายเป็นเศรษฐีได้ในเวลาไม่นาน ซึ่งผมเชื่อว่าในปี 2020 เศรษฐกิจในลักษณะนี้ซึ่งเรียกว่า “Creative Economy” จะกลายเป็นกระแสของเศรษฐกิจโลก หลังจากนั้นจะตามมาด้วยสังคมแห่งปัญญานั้นหมายรวมถึงการที่ “ความรู้คู่คุณธรรม” เพราะผมเชื่อว่าลึกที่สุดแล้ว มนุษย์แสวงหา “แบบแห่งความดี ความงาม และความจริง” ในที่สุด
 หากผู้บริหารกรุงเทพมหานครอยากให้คนกรุงเทพฯ มีคุณภาพชีวิตที่ทัดเทียมกับเมืองอื่นของโลก เงื่อนไขจำเป็นก็คือการมีเศรษฐกิจที่ได้รับการพัฒนาให้รุดหน้าซึ่งจะเอื้อ ให้มีทรัพยากรในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามมาได้ แต่ทั้งนี้ตัวการพัฒนาเศรษฐกิจเองต้องมิใช่กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา สังคมและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ตามมาเสียเอง
ดังนั้น ผมจึงเชื่อว่าการตั้งวิสัยทัศน์เพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นเจ้า “ปัจจัยแห่งยุค” เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง และขอยืนยันว่าการทำให้คนกรุงเทพโดยเฉพาะเด็กกรุงเทพคิดเป็นและมีความคิด สร้างสรรค์พร้อมด้วยคุณธรรมนั้นไม่ใช่เป็นเพียงนโยบายที่ดีอันหนึ่ง แต่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะเป็นคานงัดเพื่อจะเปลี่ยนกรุงเทพของเราในอนาคต
ดังนั้นในแง่ของการออกแบบนโยบายนั้น ต้องมีนโยบายจำนวนมากเพื่อสร้างระบบที่จะกระตุ้นให้เด็กกรุงเทพฯ แสวงหาการเรียนรู้และมีความคิดสร้างสรรค์ เช่น ต้องมีการจัดแข่งขันระดับชาติประจำปีในทุกแขนงวิชาและสาขาทักษะอย่างยิ่ง ใหญ่เพื่อจูงใจให้เด็กเกิดความอยากพัฒนาตนเองให้เป็นเลิศในด้านของตน เป็นต้น รวมทั้งการสร้างระบบเพื่อทำให้ “คนทำดีได้ดี” เช่น การพัฒนาให้มีสมุดพกความดีขึ้นมานอกเหนือจากเกรดเฉลี่ย นี่เป็นเพียงตัวอย่างน้อยนิดของนโยบายที่จะสนับสนุนให้คนกรุงเทพมีความรู้ และปัญญา ผมฝันอยากเห็นกรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งปัญญาครับ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น